ยินดีต้อนรับ

พิเศษ

-ขอบคุณคิปจากhttps://youtu.be/6h4KQkbGyEA

การขยายพันธุ์พืช หมายถึง กระบวนการที่ทำให้เกิดการเพิ่มปริมาณต้นพืชให้มากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำรงสายพันธุ์พืชชนิดต่าง ๆ ไว้มิให้สูญพันธุ์ เป็นการกระจายพันธุ์พืชพันธุ์ดีเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิต ทั้งนี้รวมถึงการผลิตต้นพันธุ์พืชพันธุ์ดีชนิดต่าง ๆ เป็นการค้าด้วยในอดีตการขยายพันธุ์พืชสวนใหญ่มักจะใช้วิธีการเพาะเมล็ดเป็นหลัก ซึ่งทำให้ต้นพืชที่เกิดขึ้นใหม่มีลักษณะผันแปรไม่ค่อยเหมือนกับต้นแม่ แต่ก็มีพืชบางชนิดที่ใช้วิธีการขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางสายพันธุ์ เช่น มังคุด นอกจากจะพบการเปลี่ยนแปลงทางสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นกับต้นพืชที่ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดแล้ว ยังพบว่าต้นพืชที่ได้จากการขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเมล็ดจะให้ผลช้าและมีลักษณะสูงใหญ่ ทำให้เกิดการยุ่งยากในการเก็บเกี่ยวและปฏิบัติดูแลรักษา ในปัจจุบันเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ ๆ ในการปลูกพืชได้มีการพัฒนาและก้าวหน้าไปมากจึงได้เปลี่ยนวิธีขยายพันธุ์พืชโดยการเพาะเมล็ดมาใช้วิธีการขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศแทน ได้แก่ การตอนการติดตาการต่อกิ่งการทาบกิ่งการชำ ฯลฯ ส่วนการขยายพันธุ์พืชแบบวิธีเพาะเมล็ดก็ยังคงใช้อยู่แต่ใช้เฉพาะบางวัตถุประสงค์เท่านั้น เช่น การเพาะเมล็ดเพื่อให้ได้ต้นพืชใหม่นำมาใช้เป็นต้นตอในการขยายพันธุ์ แบบติดตา ทาบกิ่ง ต่อกิ่ง รวมทั้งเพื่อขยายพันธุ์พืชบางชนิดที่ไม่สามารถใช้วิธีการขยายพันธุ์ไม่ใช่เพศได้หรือใช้ได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร เช่น มะพร้าว หมาก มังคุด อย่างไรก็ตามในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในต้นพืชที่ได้จากการเพาะเมล็ด ในบางครั้งอาจจะพบลักษณะที่ดีกว่าแม่พันธุ์เดิมซึ่งเป็นวิธีที่นำมาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืชเพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ ๆ อีกด้วย

TCAS

คือระบบการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยรูปแบบใหม่ที่จะใช้ในปี 2561 นี้ ซึ่งย่อมาจาก Thai University Central Admission System  การสอบนี้ไม่ใช่ระบบเอ็นทรานซ์ แต่เป็นการรวมการรับนักศึกษาทั้ง 5 รูปแบบมาไว้ด้วยกัน คือ

  • คัดเลือกโดยการส่งแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) – รอบนี้จะ ไม่มีการสอบข้อเขียน ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยจะพิจารณาในการรับนักเรียนส่วนหนึ่ง อาจจะมีการสอบสัมภษาณ์หรือสอบทักษะเฉพาะทาง โดยการสอบครั้งนี้เป็นแค่การ Pre-screening เท่านั้น
  • สมัครโควต้าแบบมีสอบข้อเขียน สำหรับนักศึกษาในพื้นที่ – รอบนี้จะเป็นการรับนักเรียนแบบโควต้า สำหรับนักเรียนในพื้นที่หรือรอบเขตการศึกษา โดยมหาวิทยาลัยสามารถจัดสอบได้เอง หรือใช้ข้อสอบส่วนกลาง อย่าง9 วิชาสามัญ หรือ GAT/PAT
  • การรับตรงร่วมกัน – รอบนี้เป็นการสอบรับตรง ซึ่งโครงการรับตรงอย่าง กสพท. หรือ กลุ่มสถาบันแพทย์ศาสตร์แห่งประเทศไทยก็รวมอยู่ด้วย โดยทางสมาคมที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) จะเป็นส่วนกลางในการรับสมัครในรอบนี้ และทางมหาวิทยาลัยจะพิจารณาผลการคัดเลือก ผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
  • การรับแบบ Admission – รอบนี้ยังคงเกณฑ์การคัดเลือกแบบ Admission โดยใช้องค์ประกอบของคะแนนเช่น GPAX, O-NET, GAT/PAT หรืออื่นๆ ผู้สมัครสามารถเลือกได้ 4 สาขาวิชา
  • การรับตรงแบบอิสระ – มหาวิทยาลัยสามารถใช้เกณฑ์การสอบที่จัดเอง หรือวิชาเฉพาะ และส่งผลการคัดเลือกให้ทาง ทปอ.

แตกต่างจากการคัดเลือกที่ผ่านมาตรงที่มีการเพิ่ม Clearing-House (Clearing-House คือ ระบบที่ยืนยันสิทธ์รับตรงร่วมกันของแต่ละมหาวิทยาลัย) ซึ่งผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในแต่ละรอบต้องกดยืนยันสิทธิ์ Clearing-House ในการที่จะเข้าเรียนได้คนละ 1  ที่เท่านั้น ระบบนี้สร้างมาเพื่อให้ผู้ที่ผ่านการคัเลือกหลายๆที่พร้อมกัน และ “กันที่” ของคนอื่น อีกทั้งยังสะดวกกับมหาวิทยาลัยในการนับจำนวนคนอีกด้วย

ข้อดีของระบบ TCAS

  • เพิ่มโอกาสความเท่าเทียมกันในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย
  • ลดปัญกาการกันสิทธิ์คนอื่น “กันที่”
  • ลดปัญหาความได้เปรียบเสียเปรียบของนักเรียน
  • แก้ปัญหาการวิ่งสอบหลายที่ เพราะระบบใหม่จะจัดช่วงเวลาการสอบหลังจากที่เด็กชั้นม.6 เรียนจบการศึกษาแล้ว
-ขอบคุณคลิปจากhttps://youtu.be/9mUyCTLL9wc

Introduce Yourself (Example Post)

This is an example post, originally published as part of Blogging University. Enroll in one of our ten programs, and start your blog right.

You’re going to publish a post today. Don’t worry about how your blog looks. Don’t worry if you haven’t given it a name yet, or you’re feeling overwhelmed. Just click the “New Post” button, and tell us why you’re here.

Why do this?

  • Because it gives new readers context. What are you about? Why should they read your blog?
  • Because it will help you focus you own ideas about your blog and what you’d like to do with it.

The post can be short or long, a personal intro to your life or a bloggy mission statement, a manifesto for the future or a simple outline of your the types of things you hope to publish.

To help you get started, here are a few questions:

  • Why are you blogging publicly, rather than keeping a personal journal?
  • What topics do you think you’ll write about?
  • Who would you love to connect with via your blog?
  • If you blog successfully throughout the next year, what would you hope to have accomplished?

You’re not locked into any of this; one of the wonderful things about blogs is how they constantly evolve as we learn, grow, and interact with one another — but it’s good to know where and why you started, and articulating your goals may just give you a few other post ideas.

Can’t think how to get started? Just write the first thing that pops into your head. Anne Lamott, author of a book on writing we love, says that you need to give yourself permission to write a “crappy first draft”. Anne makes a great point — just start writing, and worry about editing it later.

When you’re ready to publish, give your post three to five tags that describe your blog’s focus — writing, photography, fiction, parenting, food, cars, movies, sports, whatever. These tags will help others who care about your topics find you in the Reader. Make sure one of the tags is “zerotohero,” so other new bloggers can find you, too.